Omicron, oh my god, โลกจะแตก ตลาดจะพังนานแค่ไหน

Omicron, oh my god, โลกจะแตก ตลาดจะพังนานแค่ไหน

 

โดย อ. ปิง ประกิต สิริวัฒนเกตุ

วันที่ 7 ธ.ค. 2021

 

 

          ในเบื้องต้นเรื่องของ สายพันธุ์ Omicron ค่อนข้างมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้รับผิดชอบโดยตรงว่า สายพันธุ์ Omicron ไม่ส่งผลให้เราต้องมีอาการป่วยอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่เฉพาะในต่างประเทศ ในประเทศไทยเองบรรดานักวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ พอจะได้ข้อสรุปมาในเบื้องต้นว่า มีการติดเชื้อที่ไว มีการหลบหลีกตัวตัวภูมิคุ้มกันได้ค่อนข้างเยอะ แต่การส่งผลในเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือป่วยหนักน้อย ข้อสรุปตรงนี้มีการรับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ที่ WHO ประกาศออกมาครั้งแรก ช่วงประมาณวันที่ 25 พฤศจิกายนว่า สายพันธุ์ Omicron เป็นสายพันธุ์ที่อันตราย และเป็นสายพันธุ์ที่แต่ละประเทศทั่วโลกต้องเพิ่มความระมัดระวัง ซึ่งพอประกาศออกมา ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในวันที่ 26 พฤศจิกายน ร่วงลง ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย รวมถึงประเทศไทยเองก็ร่วงลงมา ซึ่งลากยาวมาจนถึงประมาณช่วงสิ้นเดือน พฤศจิกายน ก่อนที่จะมาดีขึ้นในช่วงวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกาก็มีการฟื้นตัวขึ้นมา เริ่มดูผ่อนคลายมากขึ้น ช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ๆ อ.ปิง เองก็พยายามสื่อสารกับหลายๆ คนว่า เราต้องให้เวลากับตลาด อย่าพึ่งไปคาดหวังว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างไร สิ่งที่รู้ตอนนี้คือ ติดได้รวดเร็ว แต่ไม่มีข้อมูลที่ว่า เมื่อติดแล้วอาการจะหนักแค่ไหน จะมีอัตราของอาการหนักขนาดไหน และอัตราที่จะเสียชีวิตจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ รวมไปถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ปัจจุบัน จะสามารถป้องกันการติดหรือกันการป่วยหนักได้แค่ไหนก็ยังไม่ทราบ ต้องให้เวลากับเรื่องนี้ และในเวลาที่ตลาดไม่รู้ จึงทำให้เกิดความไม่แน่นอน เลยทำให้เกิดการปาอย่างรุนแรง ลงทั้งตลาดหุ้นอเมริกา และตลาดหุ้นไทย ต่อมาเมื่อวันเวลาผ่านไปข้อมูลที่ได้รับก็เริ่มมีมากขึ้น ตอนนี้ข้อมูลเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เริ่มมองออกแล้วว่าสายพันธุ์ Omicron ไม่ได้ส่งผลให้เกิดอาการหนักอย่างรุนแรง และในแง่ของตลาดหุ้นไทยเองด้วยความที่โดนปามาเยอะ ความน่าสนใจก็เลยมีเยอะ ระดับดัชนีปัจจุบันมี valuation ที่น่าสนใจมาก สัปดาห์ที่แล้ว S&P500  Dow Jones และ Nasdaq ดิ่งลงกันหมดหลังที่เหมือนจะขึ้นมาวันที่ 29 พฤศจิกายน ลงมาวันที่ 30 พฤศจิกายน และลงมาอีกวันที่ 1 ธันวาคม หนักมากแล้วค่อยมาฟื้นตัววันที่ 2-3 ธันวาคม Volatility of Volatility ของ WIX Index ก็พุ่งขึ้น

 

 

          ตอนนี้มีการพบผู้ติดเชื้อในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น บราซิล โซนทวีปอเมริกาเหนือ และของยุโรป ในส่วนที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ Paul Kelly ของสาธารณสุขออสเตรเลีย มีการให้สัมภาษณ์ว่า เคสของ Omicron ที่พบในออสเตรเลีย 300 กว่าเคส พบว่าไม่มีอาการหนักรุนแรง แต่ใน 300 เคส นี้คือผู้ที่เดินทางเข้ามาในออสเตรเลียที่ผ่านการฉีดวัคซีนมาแล้ว ซึ่งสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ดี

 

 

 

          วันที่ 26 พฤศจิกายน ตลาดหุ้นไทยลงไปเกือบๆ 5% ต่อเนื่องมาวันที่ 29 กับ 30 พฤศจิกายน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดลงมาค่อนข้างหนักและสิ่งที่ได้เห็นก็คือ นักลงทุนต่างประเทศขายหนัก แต่ที่หนักกว่าคือการขายของพอร์ตโบรกเกอร์ พอร์ตโบรกเกอร์มีการขายอย่างรุนแรงมาตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าการซื้อ-ขายที่ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งพอพอร์ตโบรกเกอร์ขายเยอะ วงเงิน Block tread เลยเยอะ จากเดิมที่วงเงิน Block tread ทะยานขึ้นไปเกือบๆ 5 หมื่น 4 พันล้าน ตอนนี้วงเงิน Block tread ลงมาต่ำเหลือเพียงแค่ 3.9 หมื่นล้าน ทั้งหมดนี้เกิดจากการ Panic Sell ดังนั้นเวลาเราเจอตัวเลขอะไรแบบนี้มันสะท้อนว่า ตลาดเกิดจากการขายแบบปาโดยไม่สนใจราคา ต่างชาติขายเละ บีบให้ Block tread ที่ไม่อยากจะเติมเงิน ต้องขายตามเวลา การปาแบบนี้ราคาจะมีส่วนลดเยอะ พอราคามีส่วนลดเยอะทำให้ valuation เลยดูน่าสนใจขึ้นมาทันทีสำหรับตลาดหุ้นไทย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพอลงมาเยอะๆ จึงทำให้ Earning Yield Gap กลับไปอยู่ที่ 4.23% ซึ่งสูงกว่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 3.85% ที่ Earning Yield Gap พุ่งขึ้นมาขนาดนี้ เราต้องยอมรับก่อนว่า EPS ปีนี้ ตลาดมีสิทธิที่จะทำเซอร์ไพรส์ประมาณ 83 บาทต่อหุ้น

 

 

          ดร.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ออกมาพูดว่า “แม้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะสรุปได้ เพราะว่ายังต้องรอข้อมูลอื่นๆ อยู่อีกเยอะ แต่เบื้องต้นก็พอจะสบายใจได้ว่า เคสที่พบแต่ละเคสไม่ได้แสดงอาการหนักออกมาจนถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล” และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าเมื่อมีข้อมูลมากขึ้นทุกอย่างก็เริ่มผ่อนคลาย นอกจากนี้เราก็ได้เห็นการตอบสนองของแต่ละประเทศที่เริ่มชัดเจนว่าเลือกที่จะไม่ล็อกดาวน์ ส่วนเรื่องการปิดประเทศหรือการมีข้อจำกัดการเดินทาง เริ่มจะคลายความเข้มงวดลง ล่าสุดฝรั่งเศษ สายการบินแอร์ฟรานซ์ กลับมาเปิดเที่ยวบินไปแอฟริกาใต้อีกครั้งหลังจากเพิ่งปิดมาเพียงแค่สัปดาห์เศษๆ นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าติดตามและน่าสนใจ 

          อีกสัญญาหนึ่งที่น่าติดตามดูคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มมีการฟื้นตัว และสะท้อนให้เห็นถึงความกลัว ความเสี่ยงที่เริ่มคลี่คลาย เริ่มเบาบางลง ถ้าดูที่ US10YY ลบด้วยอัตราผลตอบแทน 2 ปี ระหว่างตัว 10 ปี กับ 2 ปี จะเห็นได้ว่าเริ่มมีเด้ง ถ้าเทียบ 10 ปี กับ 2 ปียังสไลด์ลงไปเรื่อยๆ บ่งบอกว่าความกังวลต่อเศรษฐกิจยังมีอยู่ ตัว 2 ปีขึ้นแต่ตัว 10 ปีลง เพราะมีความกลัวเรื่องของเศรษฐกิจยิ่งกลัวเรื่องเศรษฐกิจมากเท่าไหร่ ตัว 10 ปียิ่งต้องลง เนื่องจากเงินจะต้องเข้าไปหลบอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในที่ที่ปลอดภัยคือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แค่ตอนนี้ปรากฎว่ามันคลาย ตัว 10 ปี เด้งมากกว่าตัว 2 ปี ทำให้เห็นชัดว่าตลาดเริ่มคลายมาก เงินจะต้องออกจากพันธบัตร เมื่อออกมาแบบนี้จึงทำให้บรรยากาศการลงทุนหลายๆ อย่างดูดีขึ้นมากๆ และเป็นไปได้สูงว่าแพนิคที่เกิดจาก Omicron กำลังจะลดลง และถ้าเราเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เหล่านี้เข้ามาด้วยกัน เราจะพบว่าตลาดหุ้นไทยโดนไปหนักมาก Block tread ปาไปเยอะมาก โอกาสที่จะได้เห็นการพลิกฟื้นมีสูง และเราต้องมองข้ามเรื่อง Omicron ไปดูกันที่ธีมการลงทุนในปีหน้าว่าจริงๆ แล้วอะไรที่ต้องเกิดขึ้น

          ธีมการลงทุนในปีหน้าสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คือ ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น ปีหน้าไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวและดอกเบี้ยน้อย เพราะว่าตราสารหนี้ระยะยาวหรือตราสารหนี้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยน้อย จะเป็นตัวแปรที่จะไปกำกับตัวอัตราการเปลี่ยนแปลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดที่คาดหวังมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเพิ่มขึ้นราคาตราสารหนี้จะลงเร็ว อายุเยอะอัตราจะลงเร็วกว่าพวกอายุน้อยๆ เช่นเดียวกันกับดอกเบี้ยน้อยๆ ก็จะลงเยอะกว่าดอกเบี้ยมากๆ ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมีการปรับเพิ่มขึ้น 

          โดยสรุปแล้ว Omicron ณ ปัจจุบันยังต้องรอข้อมูลอีกพอสมควร แต่ตอนนี้ความเข้าใจของคน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงคุณหมอแต่ละท่าน จากเดิมที่กลัวตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเป็นเพียงแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา และคงจะเป็นแบบที่เปเปอร์ของ JPMorgan บอกว่า มันจะเป็นเพียงแค่ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ในส่วนของตลาดหุ้นไทย valuation อยู่ที่จุดที่น่าสนใจ น่าซื้อ แต่แรงซื้อจะมีแค่กำลังซื้อแค่ในประเทศ ต่างชาติยังไม่น่าจะกลับเข้ามา น่ากลับมาอีกทีในช่วง มกราคม ปีหน้า ในช่วงนี้จะเป็นช่วงมูลค่าการซื้อ-ขายบางๆ ตลาดอาจจะไม่ได้ลงรุนแรง แต่ก็คงไม่ได้ขึ้นแบบสวยงามน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปเก็บ 

          หุ้นที่น่าเก็บช่วงนี้ ก่อนอื่นเราต้องแยกหุ้นออกเป็น 2 อย่าง คือ หุ้นเปิดประเทศกับหุ้นเปิดเมือง สำหรับหุ้นเปิดประเทศ อ.ปิง คิดว่าเราจะไปเสี่ยงไม่ได้ เพราะว่าการจำกัดการเดินทางยังมีโอกาสเกิดขึ้นในหลายๆ โซนของโลกอยู่ การไปพึ่งพาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศดูแล้วเหนื่อย และในส่วนของหุ้นเปิดเมือง น่าสนที่จะเก็บในตอนนี้ หุ้นที่เน้นการอุปโภค บริโภคในประเทศ อ.ปิง เชื่อว่าโอกาสในการล็อคดาวน์มีน้อยมาก เพราะเรามีการฉีดวัคซีน เข็มแรกเกินกว่า 70% เข็มสองเกินกว่า 56% ซึ่งก็โอเคแล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องล็อคดาวน์ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้วก็น่าจะเอาอยู่ อาจจะติดเชื้อได้ แต่ก็ไม่มีอาการหนัก กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปโภค บริโภคในประเทศที่ลงมาก่อนหน้านี้ด้วยความกลัวเรื่องล็อคดาวน์จาก Omicron น่าเก็บเพราะราคาถูก

 

          หากคุณต้องการเรียนรู้สถานการณ์สดๆ ทันต่อเหตุการณ์ โอกาสพิชิตการลงทุนก็อยู่แค่เอื้อม คอร์สนี้คือคอร์สสำหรับคุณ “Investment & Business Buffet (IB)” 

 

สามารถสมัครออนไลน์ได้แล้ววันนี้ https://csisociety.com/investment-buffet/