จากรุ่งสู่ร่วงพร้อมกลับมาทะยาน ในตลาดหุ้น ภาค 2

จากรุ่งสู่ร่วงพร้อมกลับมาทะยาน
ในตลาดหุ้นบาย เอกธำรง
เจ้าของเพจ VI Buffet byเอกธำรง
 
หลังจากได้ผลตอบแทนชนะตลาดพอตัวในปี 2017 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของทศวรรษแรกแห่งการลงทุน เหลือเชื่อว่าการเริ่มต้นของทศวรรษที่2ช่วง2ปีแรก เละเหมือนกันเปี๊ยบ แล้วยิ่งแย่หนักช่วงเดือนมีนาปี 2020 ที่เหลือเงินอยู่แค่ 30% จากจุดสูงสุด
 
สมมติพอร์ต 1 ล้าน ก็เหลือ 3 แสน!
 
*ใครสนใจประวัติการลงทุนของผมเกือบ 10 ปีแรกพร้อมความรู้พื้นฐานหุ้นสั่งซื้อหนังสือราคาพิเศษได้ที่เพจ หมดแล้วหมดเลย
 
จากการคุยกับเพื่อนนักลงทุนและเท่าที่ได้ยินมาไม่มีใครไม่เคยเจอเหตุการณ์ย่ำแย่ระหว่างทางเลยสำหรับคนที่ตั้งใจอยู่ในตลาดหุ้นเกิน 10 ปีอุทาหรณ์เรื่องนี้น่าอ่านมาก
 
จะได้รู้วิธีแก้ไขล่วงหน้า
 
แบ่งเป็น 4 ภาค
 
ภาค 1 – 2018-2019 2 ปีที่เละเทะ พอร์ตลงเกินครึ่ง แม้ตลาดไม่เละ
 
ภาค 2 – 2020 โควิดระบาด
 
ภาค 3 – H1/21 I’m back
 
ภาค 4 – สรุปแนวคิดปีที่ 11-13.5 ในการลงทุน
 
ภาค 2/4
 
2020โควิดระบาด
 
ตอนแรกผมก็ไม่ได้ใส่ใจโควิดเท่าไหร่แต่มาเริ่มตกใจจริงๆเดือนมีนาที่เจอะเซอร์กิตเบรคเกอร์ 2 วันติด (ตลาดหุ้นเปิดมา 40 กว่าปีมีเหตุการณ์อย่างนั้นไม่กี่ครั้งและไม่มีครั้งไหนเลยที่เกิดขึ้น 2 วันติด) หุ้นทุกตัวลงกันอย่างพร้อมเพรียง
 
แน่นอนพอร์ตผมก็ไม่รอด
 
บทเรียนที่ได้มากๆเลยคืออะไรที่มันดูแย่ที่สุดแล้วมันกำลังจะดี อะไรที่มันดีที่สุดแล้วมันกำลังจะแย่ อะไรที่มันเกินไปในทางใดทางหนึ่งมันก็จะย้อนกลับมาอีกทาง หลายครั้งอยู่ในระดับความเข้มข้นหรือรุนแรงใกล้เคียงกันเพียงแต่เป็นอีกด้าน หลักคิดนี้ผมว่าเป็นประเด็นของหลักการ reflexivity ของจอร์จโซรอส
 
ตัวอย่าง1ของเรื่องนี้เลยคือหุ้นสายการบินน่าซื้อมากช่วงเดือนมีนาเมษา เพราะทุกอย่างดูแย่เหลือเกิน ถึงขั้นหยุดบินเป็นเดือน รู้มั้ยครับหุ้นสายการบินที่ก็ถือว่าแข็งแกร่งซึ่งคงมีแค่ 2 ตัว (BA, AAV) ขึ้นมาขนาดไหน
 
2 เท่าครับ
 
ประเด็นที่คนกลัวกันตอนนั้นคือขาดทุนยับไม่รู้กลับมาเมื่อไหร่ จะมีโซเชียล ดิสแทนซ์ไปตลอดไหม ของกินของดื่มห้ามขายไปเลยไหม? ปกติกำไรของสายการบินไม่ได้สูงมากอยู่แล้วถ้านั่งเว้นที่นั่งกัน คิดง่ายๆว่ารายได้หายไปครึ่งหนึ่งยังไงก็ขาดทุน แต่ถ้ามามองเหตุและผลจริงๆในตอนนั้น ยังไงก็ต้องกลับมานั่งเหมือนเดิมขายของกินได้เหมือนเดิม เพราะอย่างน้อย 2-3 ปีนับจากนั้น มันไม่น่ามีเทคโนโลยีอะไรที่มาแทนเครื่องบินได้โดยใช้เวลาเดินทางเท่ากัน (อุโมงค์ อีลอน มัคส์ก็ไม่รู้จะใช้ได้จริงๆเมื่อไหร่)
 
แล้วที่ราคาหุ้นมันกลับมาก็เพราะมันชัดแล้วว่ายังไงทุกอย่างก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม
 
มองย้อนกลับไปผมว่าสายการบินเป็นอะไรที่เห็นได้ชัดว่าไม่น่ามีอะไรมาดิสรัปในเวลาไม่กี่ปีนับจากนี้ แล้วเป็น1ในอุตสาหกรรมในจำนวนไม่มากที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปเลย รอแค่วันกลับมา ถ้าไปศึกษาเพิ่มหลายปีที่แล้วก่อนโควิด การแข่งขันเข้มข้นดุเดือดมาก จนต่างคนต่างขาดทุนจากการหั่นราคากัน ในประเด็นนี้ถ้าเปิดน่านฟ้ากลับมาปกติต่อให้เค้กก้อนเท่าเดิม คนที่รอดมีโอกาสสูงที่จะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น อย่างน้อยในช่วงแรกการแข่งขันมีแนวโน้มที่จะลดลงไป
 
นกเข้าสู่การยื่นล้มละลาย
 
การบินไทยซึ่งก็ยื่นล้มละลาย ทั้งยังลดพนักงานลงครึ่งหนึ่งจาก 30,000 เหลือประมาณ 15,000 คน แม้กระนั้นก็ยังมุ่งมั่นทำธุรกิจเพิ่มเติมอีกเช่นปาท่องโก๋และครัวซองอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งที่คนหายไปครึ่งหนึ่ง
 
ไลอ้อนแอร์ ตัวการตัดราคาช่วงนั้นสถานะทางการเงินก็ย่ำแย่มาก
 
เวียดเจทมาแรงจริง แต่ก็มีการแคนเซิลไฟลท์บ่อยมาก แล้วตั้งไฟลท์ใหม่ซึ่งเวลาต่างกันไม่มากพร้อมกับอัพราคา ทำอย่างนี้ทั้งที่ส่วนแบ่งการตลาดยังไม่สูง โอกาสกินแชร์ได้เพิ่มขึ้นมากมายยังเป็นคำถาม
 
Time Will Tell
 
ส่วนหุ้นที่เกี่ยวกับการอุปโภคโดยเฉพาะของที่ราคาสูงหน่อยเช่นพวกเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน รถยนต์ ยอมรับว่าเดายากเพราะภาคท่องเที่ยวที่มีคนเกี่ยวข้องหลายล้านคน (ยังไม่รวมคนในครอบครัวของแต่ละคนซึ่งไม่น่าจะน้อย) แล้วก็ตกงานกันเยอะมาก กำลังซื้อคงจะหดหายไปมาก รวมถึงความคิดของคนที่รอดที่ไม่น่าจะกล้าใช้เงินมากเพราะอนาคตไม่แน่นอนจริงๆ
 
ตอนนั้นเรื่องโควิดคนตื่นตระหนกกันมากตัวผมก็เสียเวลาไปกับความกังวลและอ่านข่าวพวกนี้มากเป็นพิเศษ
 
มากจนสิ้นปีผมมานั่งดูว่าศึกษาหุ้นไปกี่ตัว (ช่วงปลายปีถึงต้นปีของทุกปีผมมักจะรีวิวตัวเอง นำบทเรียนไปปรับใช้พัฒนาตัวเองตลอด) คำตอบคือ 3 ตัว
 
3 ตัว ทั้งปี!
 
เหตุผลหลักอันหนึ่งที่ผมลาออกมาลงทุนเต็มเวลาเพราะจะได้มีเวลาศึกษาหุ้นได้เยอะ เรื่องนี้มันบอกชัดเจนเลยว่าผมโฟกัสผิดจุด สิ่งที่ผมแก้ไขในปีนี้คือศึกษาหุ้นให้ได้อย่างน้อยเดือนละ2ตัว เรื่องสถานการณ์โลกก็ยังอ่าน แต่สนใจภาพใหญ่มากกว่า เพราะภาพย่อยก็ผิดประจำเหมือนทุกคน (ฝึกได้โดยลองคิดเล่นๆว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้นจะลง) เพราะเหตุผลนี้เหตุผลนั้นอัตราการเดาถูกกี่ % หรือดัชนีตลาดน่าจะเป็นยังไงจากปรากฏการณ์นี้ ส่วนตัวผมเดาผิดเดาถูกคละกันไปเลย แต่การฝึกเดานั้นดีเพราะเป็นการฝึกความเข้าใจจิตวิทยาตลาด
 
ผมตั้งใจทำตามแผนที่วางไว้แล้วก็ไม่กล้าคาดหวังว่าต้องได้ผลตอบแทนเยอะเหมือนที่เคยตั้งไว้เมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว (ซึ่งเคยคิดและหวังในใจว่าต้องให้ได้เป็นเด้ง!)
 
ยังดีที่ปีนี้ชนะตลาด