เกิดอะไรขึ้นในตลาดคริปโต?

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผู้เขียนได้ติดตามตัวเลขชุดหนึ่งที่บ่งบอกสภาพโดยรวมของตลาดคริปโทฯได้อย่างดี เนื่องจากเป็นชุดตัวเลขที่เก็บข้อมูล มูลค่าโดยรวมของสินทรัพย์ทุกตัวในตลาดออกมาในแต่ละช่วงเวลา และนำเอามาวิเคราะห์ในมิติต่างๆ ทั้งในรูปแบบของปริมาณ และ % ของสัดส่วนของมูลค่าของเหรียญต่างๆเมื่อเทียบกับตลาด

เว็บไซต์ Coinmarketcap ซึ่งเป็นเว็บไซต์เก็บรวมรวมข้อมูลของต่างคริปโตฯไว้ ได้จัดทำข้อมูล Total Cryptocurrency market capitalization, Total market Capitalization (Excluding BTC) และ Total Market Capitalization Dominance, % ไว้และแสดงผลออกมาเป็นกราฟให้เราสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ https://www.tradingview.com/markets/cryptocurrencies/global-charts/

ซึ่งประกอบไปด้วยชุดข้อมูลดังนี้

  1. Total Cryptocurrency market capitalization คือ มูลค่าโดยรวมของทุกเหรียญในตลาดคริปโต ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อมูลที่แสดงให้เราเห็นได้ว่ามีปริมาณเงินไหลเข้ามาในตลาดนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง
    กรณีที่ Total Crypto market cap. เพิ่มขึ้นจะเกิดจากกรณีต่างๆ ดังนี้
    – ราคาเหรียญปรับตัวสูงขึ้น
    – มีเหรียญใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาด (เป็นไปได้ทั้งกรณีของเหรียญสกุลเดิม ที่ถูกขุดเพิ่มเข้ามา หรือ เกิดเหรียญสกุลใหม่)
    ซึ่งหาก Total Crypto market cap. ปรับตัวลดลงก็จะเป็นในทางตรงกันข้ามนั่นเอง
  2. Total market Capitalization (Excluding BTC)
    เนื่องจากในตลาดคริปโตฯนั้น เหรียญ Bitcoin นั้นมีมูลค่าที่สูงมาก และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หากมีการปรับตัวของราคา Bitcoin ในทิศทางขึ้นหรือลง ก็จะส่งผลต่อราคาเหรียญอื่นๆแทบทั้งหมดในตลาดทันที จึงเกิดการเก็บข้อมูลของมลูค่าตลาดของเหรียญอื่นๆนอกจากบิทคอยน์ขึ้นมาเพื่อใช้ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดของเหรียญตัวเล็กเหล่านี้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมากราฟของมูลค่าตลาดของเหรียญอื่นๆทั้งหมด จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามหลังบิทคอยน์มาตลอด หรือหมายความว่า หลังจากเกิดการขึ้นแรงของบิทคอยน์และ ราคาเหรียญอื่นจะขึ้นตามมาเช่นกัน
  3. Total Market Capitalization Dominance, %
    สัดส่วนมูลค่าตลาดของเหรียญต่างๆเมื่อเทียบกับ มูลค่าตลาดทั้งหมด ซึ่งใช้ดูสัดส่วนของเหรียญใหญ่อย่าง Bitcoin และเหรียญ Alt coin ต่างๆ

Bitcoin VS Alt coin Season

ตลาดคริปโตฯนั้นมีรอบของการขึ้นของเหรียญต่างๆเหมือนตลาดหุ้น คือ สลับเล่นระหว่างเหรียญใหญ่และเหรียญเล็กซึ่งตลาดนี้มีเหรียญใหญ่อยู่เพียงเหรียญเดียวก็คือ Bitcoin ซึ่งช่วงที่เป็น Bitcoin Season นั้น Bitcoin เคยครอบครองส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า 70% เลยทีเดียวในช่วงเวลาที่เป็นจังหวะของ Bitcoin นั้นจะเห็นการขึ้นของราคาอย่างรุนแรงและทิ้งห่างเหรียญอื่นๆหลายพันสกุลออกไปทุกที จนถึงจังหวะหนึ่งที่ Bitcoin หยุดขึ้นและทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง จะเริ่มเห็นการหมุนของเม็ดเงินในตลาดที่ไล่ซื้อเหรียญอื่นๆขึ้นตามมา หรือเรียกกันว่า Alt coin season หรือ Alt coin Party นั่นเอง

Alt coin แย่งส่วนแบ่งตลาดไปกว่า 50%

นับจากเดือนมกราคมที่ผ่านมา Bitcoin ได้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากระดับ 70% ลงมาสู่ระดับ 60% ในเดือนกุมภาพันธ์ และไหลลงต่ำกว่า 50% อย่างรวดเร็วในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโต จากกระแสของผลตอบแทนในเหรียญ Alt coin ที่ปรับตัวขึ้นหลายร้อย% ในเวลาไม่กี่เดือน นำโดยเหรียญ ETH ที่ราคาได้เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่ $700 มาสู่จุดสูงสุดที่ $4,372 คิดเป็นกว่า 6 เท่าตัว หรือน้องใหม่มาแรงอย่าง BNB ก็ขึ้นมากจาก $37 มาสู่จุดสูงสุดที่ $690 คิดเป็น 37 เท่าเลยทีเดียว  ซึ่งเป็นแรงเก็งกำไรและความหวังในเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่กำลังจะเกิดในเหรียญอื่นๆที่ไม่ใช่ Bitcoin ส่งผลให้มูลค่าตลาดคริปโตฯทั้งตลาดปรับตัวขึ้นมากกว่า 1เท่าจาก 1ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สู่ 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่ Bitcoin ขึ้นเพียง 1.5 เท่าจากต้นปีเท่านั้น

Bitcoin กำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดกลับมาอีกครั้ง พร้อมตลาดขาลงที่รุนแรง

หลังจาก Bitcoin ได้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ Alt coin มาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งให้สัดส่วนของ Bitcoin ต่อตลาดที่ลงมาต่ำสุดที่ 39.66% ในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา และดีดตัวขึ้นอย่างรุนแรงมาสู่ระดับ 45.68 % ในปัจจุบัน ทำให้เห็นภาพของการถล่มลงอย่างรุนแรงของตลาดคริปโตฯทันที และเป็นการลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา เป็นการชิงส่วนแบ่งของตลาดกลับมาอยู่ที่ Bitcoin อีกครั้ง อย่างที่เราจะเห็นในตอนนี้แล้วว่า Bitcoin ลงมาครั้งนี้นักลงทุนบางส่วนก็ขายเหรียญต่างๆและถอนเงินออกจากตลาดไป และบางส่วนก็ขายเหรียญอื่นๆ กลับมาช้อนซื้อ Bitcoin จึงทำให้เห็นว่า Bitcoin นั้นย่อมลงน้อยกว่าเหรียญ Alt coin อื่นๆ

หลังจากจบการปรับฐานของราคาเหรียญต่างๆที่เกิดจากแรงเก็งกำไรบนความคาดหวังของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอยู่บนเหรียญต่างๆตอนนี้ เราคงได้เห็นกันอีกครั้งว่า เหรียญใดหรือเทคโนโลยีไหน ทีจะเป็นผู้อยู่รอดในคลื่นขาขึ้นครั้งถัดไป เหมือนที่เราได้เห็นว่าเกิดขึ้นกับ ETH ในครั้งที่ผ่านมานี้เอง