PRODUCT OR SERVICE ? คำถามที่ช่วยติด SPEED การลงทุน
ในโลกของการลงทุนนั้น “เวลา” ถือเป็นตัวตัดสินหนึ่งว่านักลงทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีเพียงใด ยิ่งเราใช้เวลาสั้นลงในการถึงเป้าหมายการลงทุนเท่าไหร่ ผลตอบแทนของเรายิ่งสูงขึ้นเท่านั้น การลงทุนในบริษัทที่อยู่ในช่วงเติบโต (ที่เรียกติดปากกันว่าหุ้นเติบโต) นั้นจึงมีหลักฐานทางสถิติอย่างชัดเจนว่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนทางการเงินใดๆ ในระยะยาว ในบรรดาบริษัทนับหมื่นนับพันในตลาดหุ้นนั้นเราเองก็สามารถจำแนกคุณลักษณะต่างๆ ออกมาได้อย่างมากมาย คุณลักษณะสำคัญที่นักลงทุนหลายคนอาจจะรู้แต่ไม่ให้ความสำคัญมากนักกับเรื่องนี้ คือการที่รู้ว่าบริษัทที่เราลงทุนนั้น ขายสินค้าหรือบริการ?
ในโลกของธุรกิจนั้น คุณค่าที่ผู้ขายจะส่งมอบให้ลูกค้ามีอยู่ 2 ทางด้วยกัน คือ 1.สินค้า 2.บริการ ทั้งสองอย่างต้องทำควบคู่กันไป อย่างร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าในร้านก็ต้องใช้พนักงานเพื่อบริการลูกค้า หรืออย่างบริษัทผลิตโทรศัพท์มือถือที่ผลิตมือถือแต่ก็ยังต้องมีพนักงานคอยบริการตามศูนย์ต่างๆ ถ้าเกิดว่าทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีสินค้าและบริการเกิดขึ้น แล้วเราจะจำแนกอย่างไรว่าธุรกิจใดเป็นธุรกิจที่ขายสินค้า(Product based company) หรือเป็นธุรกิจที่ขายบริการ (Service based company) และคำถามที่สำคัญไปกว่านั้นคือเราจะรู้ไปทำไม?
Facebook ให้บริการ Social Media ส่วน KFC ขายไก่ทอด ดังนั้น Facebook คือบริษัทขายบริการ ส่วน KFC คือบริษัทที่ขายสินค้า ความคิดเช่นนี้ไม่ได้ผิดอะไรในโลกของคนปกติ แต่สำหรับผู้ประกอบการ นักการตลาด หรือนักลงทุน ก็ควรตอบได้ว่า KFC คือ ธุรกิจที่บริการทำอาหาร ในขณะที่สินค้าของ Facebook คือข้อมูล
เพื่อจำแนกลักษณะของธุรกิจ เราต้องมองลงไปถึงว่าธุรกิจที่เรากำลังวิเคราะห์นั้นมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าของตนด้วยสินค้าหรือบริการกันแน่ ผมขอยกตัวอย่าง KFC เช่นเดิมว่าไก่ทอดที่นับเป็นสินค้าหลักที่ทำรายได้ให้แก่ KFC ปีนึงมหาศาล แต่คุณค่าที่มอบให้ลูกค้าที่จริงแล้วคือการบริการ
เรามาลองคิดกันเล่นๆว่า KFC จะทำรายได้จากไก่ทอดได้แค่ไหนหากอยู่ๆ KFC ก็ประกาศตัวเองว่าจะลดการบริการลง และผันตัวเองเป็น Product based company เริ่มจากส่งไก่ทอดขายตาม Super Market ลูกค้าบางส่วนคงเบือนหน้าหนีเพราะมันไม่ได้กรอบเหมือนเพิ่งทอด บริษัทจึงต้องหันไปขายไก่ชุบแป้งแช่แข็งให้ลูกค้ากลับไปทอดเอง ลูกค้าส่วนหนึ่งไม่ซื้อเนื่องจากขี้เกียจทอดเองเพราะยุ่งยาก เหลือแต่แฟนคลับของแบรนด์จริงๆที่ซื้อไปทอดเองก็ประสบปัญหา ไม่มีอุปกรณ์บ้าง ไฟไม่แรงพอบ้าง น้ำมันไม่ท่วมพอ ไหม้บ้าง เหนียวบ้าง สุดท้ายก็ไม่ได้ไก่ทอดรสชาติเดิมๆที่คุ้นเคย ดังนั้นจริงอยู่ที่ไก่ทอดคือสินค้า แต่หากขาดบริการอย่างเข้มข้นแล้ว KFC ก็ไม่สามารถเป็นอย่างทุกวันนี้
ส่วนธุรกิจที่เป็น Product based company อย่าง Apple นั้น เมื่อคิดค้นสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แล้ว ก็สามารถทำการกระจายสินค้าออกไปได้เลย หลังๆมานี้ผมซื้อ Iphone ผ่าน Shopee โดยไม่จำเป็นต้องไปที่ Apple store เพื่อรับบริการจากพนักงานด้วยซ้ำ
แล้วเราจะแบ่งไปทำไม? ในเมื่อทั้ง 3 บริษัทที่ยกมาในบทความนี้ (KFC, Facebook, Apple) ต่างเป็นบริษัทระดับโลกทั้งนั้น และยังมีธุรกิจลักษณะ Service based company มากมายที่แข็งแกร่งและมีขนาดใหญ่ ผมคงต้องย้อนกลับไปที่ย่อหน้าแรกคือเรื่องของ “เวลา” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของนักลงทุนนั่นเอง
ในแง่การเติบโตนั้น Product based company ทำได้เร็วกว่า Service based company มาก เพราะธุรกิจบริการมีความซับซ้อนในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เป็นลักษณะ 1 ต่อ 1 คือธุรกิจบริการจะสร้างยอดขายได้ 1 ครั้ง จะต้องสร้างองค์ประกอบต่างๆเพื่อลูกค้าคนนั้น หลังจากลูกค้าคนใหม่เข้ามา กระบวนการบริการก็จะเริ่มต้นขึ้นใหม่ ถ้าเราลองจินตนาการถึงการบริการลูกค้า 1 ล้านครั้ง กับการผลิตสินค้าส่งขาย 1 ล้านชิ้น อย่างแรกคงกินพลังงานและเวลากว่ามาก
ข้อที่เหนือกว่าอีกแง่หนึ่งของ Product based company คือการได้รับผลจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้เมื่อผลิตถึงจุดคุ้มทุนตัวเลขกำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ต่างจากธุรกิจบริการที่กำไรจะเพิ่มขึ้นแบบเส้นตรงตามการบริการที่มากขึ้น หรือตามสาขาที่มากขึ้น เนื่องจากธุรกิจบริการนั้นจำเป็นต้องเน้นแรงงานและสถานที่ ทำให้เมื่ออยากเพิ่มยอดขายก็จำเป็นต้องเพิ่มแรงงานและสถานที่เข้าไปด้วย ซึ่งคนทำธุรกิจจะรู้ว่าพนักงานคือส่วนที่บริหารจัดการยากที่สุดในองค์กร
ด้วยข้อที่เหนือกว่าหลักๆ 2 อย่างของ Product based company ก็พอจะบอกได้แล้วว่ามันควรจะให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่า Service based company เนื่องจากรายได้และกำไรเติบโตได้ไวกว่าและง่ายกว่า ผมจึงอยากให้ผู้อ่านลองมองธุรกิจในแง่นี้ดูบ้าง เผื่อจะสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้นในตลาดหุ้นครับ
—————————————————————————————————-
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุน
ขอบคุณครับ