อจ.ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่)
เซียนมี่ หรือคุณ “ทิวา ชินธาดาพงศ์” ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง แถมยังเรียนจบชั้นม.3 และมีอาชีพแรกคือ “วินมอเตอร์ไซค์” เขาเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง คุณพ่อทำงานบริษัทเอกชนและคุณแม่มีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว ปัญหาใหญ่ของเขาในวัยเด็กคือเขาเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งเอาซะเลย ทำให้คุณแม่ของเขาบ่นอยู่เป็นประจำเมื่อเขาสอบตก แต่ทุกๆครั้งและทุกๆรอบที่เขาสอบตก ก็ยังมีอาม่าของเขาที่คอยให้กำลังใจเสมอและเป็นคนเดียวในบ้านที่เชื่อว่าหลานจะเป็นคนรวย คำสอนของอาม่าที่เค้าจดจำได้เป็นอย่างดีคือ “ดอกไม้แต่ละดอก ย่อมมีฤดูกาลที่จะเจริญงอกงามได้ แตกต่างกันออกไป” ในที่สุดเมื่อเรียนยังไงก็เรียนไม่ไหว เขาจึงได้ตัดสินใจลาออก จากนั้นเพื่อนสนิทจึงได้ชักชวนไปขับวินมอไซค์ อาชีพแรกในชีวิตของเขาจึงได้เริ่มขึ้น แต่ทว่าแม่ของเขากลุ้มใจ และพ่อของเขาหนักใจที่ลูกชายไม่เอาไหน จึงตัดสินใจส่งเขาไปเรียนที่กวางโจว ประเทศจีน เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสองปีครึ่งจนในที่สุดได้กลับมาไทย หลังจากที่ได้ไปอยู่ที่จีนมา ชีวิตของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป เขากลับมาที่ไทยและได้ทำงานหลากหลายอาชีพ จนเมื่อครั้งที่เป็นเซลล์แมนขายรถยนต์มิตซูบิชินั้นก็ได้มองไปที่ผู้จัดการสาขาซึ่งอีก 10 ปีเขาจะได้ไปอยู่ในตำแหน่งนั้นกับเงินเดือนห้าหมื่นกว่าบาท ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการ เขาจึงเริ่มทำการเลื่อนตำแหน่งตนเองจากลูกจ้างมาเป็นเจ้าของกิจการ ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นแต่สุดท้ายก็ต้องเจอวิกฤติปี 40 เล่นงานอย่างหนักจนต้องปิดกิจการและเหลือเงินเพียงหนึ่งล้านบาท เมื่อเริ่มเข้าตาจน คนเรามักจะทำอะไรที่ขาดสติและการคิดวิเคราะห์ เขานำเงินไปเล่นพนันบอลจนเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตมีเหลือติดกระเป๋าอยู่แค่ 100 บาท จึงได้ปรึกษาภรรยาและตัดสินใจที่จะยืมเงินญาติมาเปิดธุรกิจระบายสีตุ๊กตาเพราะเขาเห็นว่าใช้ทุนน้อย โชคยังดีที่กิจการระบายสีตุ๊กตาสามารถทำเงินให้กับเขาได้ รวมไปถึงช่วงนั้นห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าวได้ปล่อยให้เช่าพื้นที่ในราคาถูก ทำให้เขามีแผนการที่จะเปิดร้านเกมส์ ธุรกิจที่ผู้ใหญ่หลายๆคนบอกเขาในเวลานั้นว่าอย่าทำเลย เขาเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองว่าธุรกิจร้านเกมส์ต้องมาแน่ๆ และก็เป็นแบบที่เขาคิดจริงๆ เวลาเกือบสิบปีกับการเป็นเจ้าของร้านเกมส์ ทำให้เขามีเงินเก็บในหลักสิบล้านเป็นครั้งแรกของชีวิต ในที่สุดเมื่อปี 51 เขาได้ไปเดินเล่นที่เอสพลานาดรัชดาและได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังงานสัมมนาเล็กๆของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร ทำให้เขาเกิดความสนใจในการลงทุนหุ้นจึงได้กลับมาอ่านหนังสือและศึกษาอย่างหนักเพื่อค้นคว้าหาความรู้ การตั้งเป้าหมายคือสิ่งสำคัญ เป้าหมายใหญ่สำหรับเขาคือผลตอบแทนปีละ 26% จากนั้นจึงใช้วิธีย่อยเป้าหมายให้เล็กลง อาจจะซอยย่อยเหลือเป็นในหนึ่งเดือน, หนึ่งปี จะต้องทำอะไรบ้างให้ไปถึงเป้าหมาย แล้วก็ตั้งใจทำอย่างมุ่งมั่น เขาเป็นนักลงทุนสาย VI ก็จริง แต่เขาจะเป็นคนที่ยอมบอกลากับหุ้นตัวนั้นเมื่อเห็นแล้วว่าปัจจัยพื้นฐานได้เปลื่ยนไป แต่ก็ไม่ถึงกับทิ้ง ยังติดตามหาโอกาสกลับเข้าไปเสมอเมื่อถูกช่วง ถูกเวลา อีกเคล็ดลับนึงของเขาคือการมองหุ้นให้เหมือนชีวิตคนที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง ธุรกิจก็เช่นกัน หากเราติดตามสถานะการณ์สำคัญอยู่เสมอบวกกับการศึกษาอย่างเข้าใจ ก็จะช่วยให้เราเข้าไปในจังหวะเหมาะสมที่บริษัทพร้อมที่จะเติบโตและทำกำไรได้ คุณทิวามีเทคนิคดีๆในการลงทุนคือ หากปีไหนได้ผลตอบแทนสูงกว่าเป้าหมาย ก็อาจจะถอนเงินส่วนเกินนั้นออกมาให้รางวัลชีวิตกับตัวเองบ้าง ส่วนตัวเขานั้นเลือกที่จะใช้เงินกับคนที่เขารัก คือการพาครอบครัวและคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยว เพราะเขามีแง่คิดในการลงทุนว่า “เราสามารถมีความสุขในระหว่างทางได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้ถึงเป้าหมายหรือวันสุดท้าย จึงจะได้ใช้เงิน” วิธีไปสู่ความสำเร็จของเซียนหุ้นรุ่นกลางของไทย คุณมี่ ”ทิวา ชินธาดาพงศ์” ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก แค่มีความขยัน, อดทน และรักในสิ่งที่ทำอยู่ทุกๆวัน หมั่นศึกษาหาความรู้ให้ตัวเองอยู่เสมอเพราะโลกมันเปลื่ยนไปในทุกๆวัน จาก 0 จนมีพอร์ตหุ้นหลักร้อยล้านเหมือนทุกวันนี้ สิ่งสำคัญที่เขาทำอยู่เสมอตั้งแต่เด็กจนโตคือ “คิดบวก” ถึงแม้วันนี้อาม่าของเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็ได้พิสูจน์ให้ใครต่อใครได้เห็นแล้วว่าอาม่าคิดถูก ที่บอกว่าสักวันเขาจะต้องเป็นคนที่เก่งและประสบความสำเร็จได้ สุดท้ายนี้ ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เมื่อรู้ตัวว่าพลาดแล้วต้องแก้ไขหรือทำอะไรสักอย่าง เพราะความสำเร็จนั้น ไม่สำคัญว่าจะเริ่มจากจุดไหน แต่สำคัญที่ว่าเราจะลุกขึ้นและฮึดสู้จนกว่าจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไรมากกว่า