กราฟสวย ตบทรัพย์ เตรียมรับมือ XD Effect และ Sell Before May

กราฟสวย ตบทรัพย์ เตรียมรับมือ XD Effect และ Sell Before May 

 

โดย อ.ปิง ประกิต สิริวัฒนเกตุ

วันที่ 19 เม.ย. 2565

 

 

          อัพเดตสถานะการตลาดตอนนี้ 

          ตอนนี้ตลาดบวกประมาณ 10 กว่าจุด คุณภาพการซื้อ-ขายวันนี้ดูดี ช่วงเช้าเข้ามา 3 หมื่น 5 ล้าน ซึ่งถือว่าเยอะ เพราะว่าครึ่งบ่ายโดยปกติมักจะมีมูลค่าการซื้อ-ขายที่มากกว่าครึ่งเช้า แม้ว่าจำนวนเวลาในการเทรดครึ่งบ่ายจะน้อยกว่าช่วงเช้า หมายความว่าบ่ายวันนี้อาจจะได้เห็นมูลค่าการซื้อ-ขายสิ้นวันมากกว่า 7 หมื่นล้าน ถ้ามากกว่า 7 หมื่นล้าน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะว่าก่อนวันสงกรานต์มูลค่าการซื้อ-ขายอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้าน เมื่อวานขยับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่น 3 – 6 หมื่น 4 ล้าน ถือว่ามากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังถือว่าน้อยอยู่ วันนี้น่าจะเกิน 7 หมื่นล้าน ดูมีทรงว่าตลาดอาจจะกลับมาอยู่ในโหมดที่ลงทุนได้ มูลค่าการซื้อ-ขายที่เพิ่มขึ้นมาอาจจะพอเดาได้ว่าจะเน้นไปที่หุ้นกลางและหุ้นเล็ก

          อ.ปิง มองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าดีใจมากนัก ถ้าเราไปเน้นที่หุ้นกลาง หุ้นเล็กก็ยังพอทำกำไรได้ เพียงแต่ว่าต้องมีความไวมาก และได้มีแนะนำว่า น่าจะมองหุ้นเล็ก ประมาณ 3 ตัว ที่สามารถที่จะมองได้

 

 

  1. STI 

          ช่วงเช้ามีการพุ่งไปได้ถึง 11.8 ก่อนที่จะมีการกดลงมา ถ้าเราไปดูกราฟราย 5 นาที ก็จะพบว่าขึ้นไวมากในช่วง 20 นาทีแรกเท่านั้นเอง 

 

 

  1. SNNP

          เมื่อช่วงเช้าแพทเทิร์นเดียวกันกับ STI คือวิ่งไล่ในช่วง 15 – 20 นาที ซึ่งเร็วมากก่อนตกแล้วก็พัก ดังนั้นถ้าอยากจะเล่น รอการ Break out ออกจากช่วงพักได้ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายก็ได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากลงมาฏ้อาจจะคว่ำ

 

 

  1. ILM 

          ตัวนี้ก็ยังคงมาในแพทเทิร์นเดียวกัน ซึ่งก็คือดีในช่วง 10 – 20 นาทีแรก 

 

 

          สภาพตลาดในภาวะปัจจุบัน

          มูลค่าการซื้อ-ขายของตลาดตั้งแต่ต้นปี เห็นได้ชัดเจนว่าตอนนี้ตลาดไม่เอา SET50 เลย มูลค่าการซื้อ-ขายถอยลงมา แต่ถ้า SmallSET ยังโอเคอยู่ อาจจะดรอปลงมาจากช่วงที่พีคจากตอนเดือนมีนาคม แต่ทาง MAI มูลค่าการซื้อ-ขายตอนนี้กำลังทำจะไปเทส High ที่เคยทำไว้ตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าภาพรวมตลาดจะมีมูลค่าการซื้อ-ขายที่สูงขึ้น จะเห็นได้ชัดว่าเงินไปอยู่กับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่

          ตอนนี้สถานะการเงินเฟ้อค่อนข้างหน้ากลัว อาทิตย์ที่แล้วมีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้ออเมริกาออกมาก่อนช่วงสงกรานต์  8.5% ถือว่าโหดร้ายมาก Goldman Sachs ประเมินว่า เงินเฟ้อที่เราเห็นอาจจะเป็นจุดพีคแล้ว ไม่ได้หมายความว่า 8.5% แล้วจะดรอปลงเลย แต่หมายความว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 8.5% ไปสักพักแล้วค่อยๆ แผ่วลง 

แต่ทางด้านของ อ.ปิง มองว่า มีความเสี่ยง ถ้าเราไปดูด้านในของเงินเฟ้อจะพบว่าที่โดดขึ้นมา มาจากราคาสินค้าและบริการ แต่ในแง่ไอเทมกับราคาน้ำมันราคาพลังงานเพิ่งเริ่มมา จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาเท่านี้ ตอนนี้ราคาอาหารหลายๆ อย่างยังคงทำ New High อยู่ เช่น ราคาข้าวสาลี ราคาข้าวโพด ราคาถั่วเหลือง เป็นต้น เงินเฟ้อในเดือนเมษายนปีนี้เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้วน่าจะยังคงโดดต่อเนื่อง ก็อาจจะเกินกว่า 8.5% ต่อ แต่ว่าเป้าเงินเฟ้อระยะยาวของ Fed อยู่ที่ราวๆ ประมาณเกือบ 5% เป้าหมายระยะยาวคือ 2% แต่จะทำยังไงให้เงินเฟ้อจาก 8.5% ลงใกล้เคียงเป้าหมาย 

          ล่าสุด James B. Bullard ให้สัมภาษณ์ว่า อยากเห็นดอกเบี้ยปีนี้ขึ้นไปถึง 3.25% หรือ 3.5% ซึ่งแปลว่าต้องการให้ขึ้นดอกเบี้ยทีละ 0.5% ในทุกๆ การประชุมเพราะว่าตอนนี้ดอกเบี้ย Fed ขึ้นมาที่ 0.25% ถ้าจะให้สิ้นปีเป็น 3.25% นี่คือการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรงมาก นอกจากนี้ยังบอกอีกว่า นอกจากจะขึ้นดอกเบี้ยทีละ 0.5% การขึ้นดอกเบี้ยทีละ 0.75% ก็เป็นอกีทางเลือกหนึ่งที่นาสนใจถ้ามันจำเป็นก็ต้องใช้

          ทางด้าน William C. Dudley อดีตประธาน Fed สาขานิวยอร์ก ได้ออกมาบอกว่า การลงจอดแบบรุนแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจอเมริกาตอนนี้กำลังร้อนมาก แล้ว Fed จะต้องการสกัดเงินเฟ้อโดยการใช้นโยบายการเงินตึงตัวที่ค่อนข้างแรงมากๆ ดังนั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจจะต้องสะดุดแล้วหดตัวลงมา 

 

          ช่วงนี้ตลาดหุ้น นอกจากสัญญาณที่จะบอกว่าเศรษฐกิจเริ่มที่จะชะลอจากการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวของ Fed ตอนนี้บรรดาบริษัทจดทะเบียนกำลังโดนแรงกดดันหนักในเรื่องของการปรับลดประมาณการกำไร ในสมัยก่อนมีแต่จะปรับประมาณการกำไรขึ้น หรือชะลอก็อาจจะมีการปรับประมาณการกำไรขึ้นน้อยลง แต่ตอนนี้หลายบริษัทเริ่มกำลังถูกทยอยปรับลดประมาณกสนกำไร ซึ่งสาหตุก็คือ Operation Margin มาถึงจุดตันแล้วนับจากนี้จะเป็นขาลง เพราะว่าต้นทุนวัตถุดิบกำลังปรับเพิ่มขึ้นตามสภาวะเงินเฟ้อ ก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหาเพราะว่าบรรดาบริษัทต่างๆ แม้กระทั่งในประเทศไทยเองก็สามารถนำเอาสต็อกสินค้าที่ได้มาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้วนำมาขายได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้สต็อกหมดแล้ว ถ้าเป็นในไตรมาส 2 ก็แปลว่าสต็อกต้องเกิดจากไตรมาส 1 ซึ่งไตรมาส 1 เงินเฟ้อแล้ว ดังนั้น Margin บางลงทำให้ประมาณการกำไรมีแต่จะแย่ลง เพราะฉะนั้นหุ้นอเมริกาหรือแม้กระทั่งหุ้นไทยเอง เรื่องของ EPS Growth ทำใจได้เลย โดยเฉลี่ยแล้วต้องดรอปลงแน่นอน

          นอกจากนี้สิ่งท่น่ากลัวตอนนี้คือ ค่าเงินดอลลาร์ ตอนนี้เงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์กำลังอ่อนค่าที่สุดในรอบ 20 ปี พร้อมกับโพสิชั่นการช็อตที่รุนแรงมาก แปลว่ามีการเก็งว่าเงินเยนจะอ่อนค่าไปได้อีก ตอนนี้ดอลลาร์กำลัง Break out ออกจาแนวต้านสำคัญ และอีกไม่นานก็คงขึ้นไปทำสุดสูงสุดในรอบ 2 ปี และ 5 ปี ในไม่ช้านี้ดอลลาร์ก็จะแข็งค่า 

 

        หากคุณสนใจต้องการรับสิทธิ์พิเศษ และรับชมย้อนหลังได้ทุกการบรรยายผ่านช่องทางออนไลน์ กับโครงการคอร์สการลงทุน CSI ซึ่งได้รวบรวมและจัดหลักสูตร CSI-Pack กว่า 400 คอร์สการลงทุน

          **พิเศษ! คอร์ส CSI-Pack สมาชิกรายเดือน เพียง!! 1,990 บาท จากปกติ 5,900 บาท ลงทะเบียนแล้วเริ่มเรียนได้ทันที

          สามารถสมัครออนไลน์ได้แล้ววันนี้ https://csisociety.com/csi-pack/